หลวงปู่หริ อคฺคสิริ อายุ ๙๐ ปี มีนามเดิมว่า สิริ มณีวัฒนา เกิดเดือนเม.ย. พศ. ๒๔๖๓ ปีวอก ที่ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี เมื่ออายุ ๑๗ ปีติดตามพระผู้ใหญ่มาอยู่วัดระฆังโฆสิตาราม จ.ธนบุรี และได้บรรพชาเป็นสามเณรโดยมีพระเทพสิทธินายก(หลวงปู่นาค) เป็นพระอุปัํชฌาย์ระหว่างนั้นได้เรียนกรรมฐานกับหลวงปู่นาคและหลวงปู่ขวัญ ซึ่งเป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต และเรียนนักธรรมควบคู่ไปด้วย พออายุ ๒๑ จึงย้ายกลับมา จ.สุพรรณบุรี ทำการอุปสมบท โดยมีพระเมธีธรรมสาร(หลวงพ่อไสว) วัดบ้านกร่าง เจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วได้มีโอกาสพบกับหลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย ที่มาปรุงศาลา หลวงปู่ฯจึงได้มีโอกาสช่วยงานจนหลวงพ่อแต้มเอ็นดูเป็นอย่างมาก จึงได้ถ่ายทอดวิชาเกราะเพชรที่ท่านเรียนจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แก่หลวงปู่ฯจนหมดสิ้น ต่อมาญาติที่อยู่อ.บางปลาม้าได้มานิมนต์ไปอยู่วัดขวางสอนปริยัติธรรม ที่วัดขวางนี่เองที่หลวงปู่หริได้ใกล้ชิดรับใช้และเรียนกรรมฐานและพระเวทย์วิทยาสายหลวงพ่อเนียม วัดน้อย กับหลวงพ่อโต เจ้าอาวาส เนื่องจากหลวงพ่อโตท่านเป็นศิษย์สายตรงของหลวงพ่อเนียมแถมยังได้เรียนกับหลวงพ่อครุฑ อดีตเจ้าอาวาสซึ่งเป็นสหธรรมิกกับหลวงพ่อเนียมเพราะวัดขวางกับวัดน้อยนั้นอยู่ติดกัน ระหว่างนั้นเองหลวงปู่หริได้ไปรับใช้และร่ำเรียนวิชากับหลวงพ่อโบ้ย วัดมะนาวซึ่งก็เป็นศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเหมือนหลวงพ่อแต้ม วัดพระลอยและยังมีโอกาสได้พบและขอความรู้จากหลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ (ลูกศิษย์หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน) เจ้าของเครื่องรางตุ๊กแกดัง รวมเวลาที่หลวงปู่ฯศึกษาเล่าเรียนในสายหลวงปู่เนียมที่อ.บางปลาม้าเป็นเวลาถึง ๑๑ ปี พอดีขณะนั้นทางวัดน้อย(วัดหลวงพ่อเนียม)เกิดปัญหาว่างเจ้าอาวาสลง ทางเจ้าคณะจังหวัดและศึกษาธิการอำเภอขอให้หลวงปู่ฯไปรับตำแหน่ง หลวงปู่ฯปฏิเสธไม่รับแต่ยอมรักษาการดูแลให้เป็นเวลา ๑ ปีเพื่อรอให้คณะสงฆ์คัดเลือกผู้เหมาะสมมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อไป พอครบ๑ปีแล้วหลวงปู่ฯก็เดินทางกลับมาอยู่ที่วัดบ้านกร่างอ.ศรีประจันต์บ้านเกิดของท่าน โดยปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อไสว พระอุปัชฌาย์ของท่านอยู่ระยะหนึ่ง ระหว่างนั้นได้มีโอกาสพบเจอหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่เป็นประจำเพราะหลวงพ่อมุ่ยมักมีกิจนิมนต์ร่วมกับหลวงพ่อไสว จังหวะนี้เองที่หลวงปู่หริได้ขอเรียนวิชากับหลวงพ่อมุ่ย แต่หลวงพ่อมุ่ยไม่ยอมสอนแบบองค์อื่นๆ โดยบอกว่า “ท่านหริเก่งแล้ว เรียนมามากกกว่าฉันอีก ฉันไม่ต้องสอนแล้ว แค่ชี้แนะก็พอ” หลวงปู่หริจึงได้รับคำชี้แนะเคล็ดต่างๆจากหลวงพ่อมุ่ยมาหมดสิ้น อยู่ต่อมาไม่นานหลวงพ่อไสวก็ส่งหลวงปู่ฯไปเป็นเจ้าอาวาสวัดดงขี้เหล็ก แต่หลวงปู่ฯปฏิเสธอีกเหมือนเดิมรับเพียงจะไปรักษาการให้ วัดดงขี้เหล็กขณะนั้นไม่มีโบสถ์ ทำให้หลวงปู่ฯและพระลูกวัดฯต้องไปลงโบสถ์ทำวัตรสวดมนต์ที่วัดเกาะซึ่งมีหลวงพ่อปุย ศิษย์หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา เป็นเจ้าอาวาส (หลวงพ่ออิ่มเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า) การไปลงโบสถ์ที่วัดเกาะนี้เป็นประจำทำให้หลวงปู่ฯสนิทสนมและได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อปุยเป็นอย่างมากจนหลวงพ่อปุยถ่ายทอดวิชาให้ นอกจากนี้หลวงปู่ฯยังได้ศึกษากับหลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ หลวงพ่อหรุ่น วัดเสาธงทอง และยังได้แลกเปลี่ยนกรรมฐาน พระเวทย์อาคมกับหลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง และ หลวงพ่อจวน วัดไก่เตี้ย หลวงปู่เจริญ วัดหนองนา ซึ่งเป็นสหธรรมิกรุ่นพี่อีกด้วย
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจึงสรุปได้ว่าหลวงปู่หริเป็นเกจิอาจารย์ในยุคปัจจุบันที่ร่ำเรียนมามากที่สุดองค์หนึ่ง โดยมีอาจารย์ทั้งที่เรียนและแลกเปลี่ยนวิชารวมทั้งแนะนำมามากถึง ๑๖ องค์หรือเรียกได้ว่ามีพระอาจารย์โสฬส คือ ๑.หลวงปู่ขวัญ วัดระฆังฯ ๒.หลวงปู่นาค วัดระฆังฯ ๓.หลวงพ่อโต วัดขวาง(ศิษย์หลวงพ่อเนียม วัดน้อย) ๔.หลวงพ่อโบ้ย วัดมะนาว ๕.หลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ(เจ้าตำรับตุ๊กแกดัง) ๖.หลวงหรุ่น วัดเสาธงทอง ๗.หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย (ผู้สืบยันต์เกราะเพชรจากหลวงพ่อปาน) ๘.หลวงพ่อไสว วัดบ้านกร่าง ๙.หลวงพ่อปุย วัดเกาะ ๑๐.หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ๑๑.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ฯ ๑๒.หลวงพ่อจวน วัดไก่เตี้ย ๑๓.หลวงพ่อเจริญ วัดธัญญวารี ๑๔.หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง ๑๕.หลวงพ่อปลื้ม วัดสวนหงส์ ๑๖.หลวงพ่อเล็ก วัดลาดหอย
หนุมานเกราะเพชร
หนุมาน เป็นลิงเผือกมีกายสีขาว สวมกุณฑล มีขนเป็นเพชร มีเขี้ยวเป็นแก้ว และ หาวเป็นดาวเป็นเดือน มีฤทธิ์มาก สามารถแปลงกาย หายตัวได้ อยู่ยงคงกระพันชาตรี เป็นอมตะไม่มีวันตายเนื่องจากเป็นลูกของพระพาย กับนางสวาหะ เมื่อมีอันตรายถึงตายแล้วเพียงแค่มีลมพัดมาหนุมานก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ด้วยอำนาจของพระพายผู้เป็นบิดา เมื่อพระลักษมณ์พลาดถูกหอกของกุมภกรรณเจ็บสาหัส หนุมานไปหยุดรถทรงของ พระอาทิตย์ (เพื่อแสงจะได้ไม่ส่องมาต้องกายพระลักษมณ์) จนไฟเผาไหม้ไปทั้งตัวเหลือเพียงขนเพชร พระอาทิตย์เห็นแล้วเมตตาสงสาร จึงชุบกายาหนุมานขึ้นมาใหม่
หนุมานเป็นตัวแทนของชายหนุ่มทั่วไป รูปงามนิสัยเจ้าชู้ และ มีเมียมาก หนุมานทำการอะไรก็สำเร็จ รบกับใครก็ชนะ มีขนเป็นเพ็ชรเหมือนเกราะ ฆ่าไม่มีวันตาย มีเมตตามหาเสน่ห์อยู่ในตัว
ด้วยว่าหลวงปู่หริท่านเกิดปีวอกและมีความชื่นชอบในคุณวิเศษของหนุมาน ประกอบกับปีนี้เป็นปีขาลซึ่งเป็นปีเกิดของหนุมานและมีวันเสาร์๕ตัวผู้ มีเพชรฆาตฤกษ์ ราชาฤกษ์และมหัทธโนฤกษ์ เหมาะแก่การสร้างวัตถุมงคลให้เข้มขลังโดยเฉพาะในทางคงกระพัน คุ้มครองป้องกันภัย ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และ เจริญในโชคลาภโภคทรัพย์ท่านจึงได้จัดสร้าง หนุมานเกราะเพชร จำนวน ๙๙๙ ตน เป็นวัตถุมงคลรุ่นแรก โดยนำผงธูปกรรมฐานและ ผงเกราะเพชรที่สืบสานมาบรรจุไว้และปลุกเสกบรรจุธาตุเรียกอาการ ๓๒ ด้วยมหามนต์เกราะเพ็ชรหนุมานและสรรพวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา เพื่อให้เกิดผลตามคุณวิเศษของหนุมาน โดยเฉพาะผู้ที่รับราชการหรือเป็นลูกน้องเขา เพราะหนุมานนั้นเป็นทหารเอกที่โปรดปรานของพระรามจน ได้รับการเลื่อนยศตำแหน่งและให้ครองกรุงอโยธยาครึ่งหนึ่ง นอกจากนั้นยังช่วยคุ้มครองป้องกันสรรพอันตราย ให้มีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูและอำนวยโชคลาภโภคทรัพย์แด่ผู้ที่บูชา ตามฤกษ์และสรพวิชาที่ท่านตั้งใจปลุกเสก ( พร้อมกันนี้หลวงปู่หริท่านได้จัดสร้าง ตะกรุดเสาร์๕นะหน้าทอง ขึ้นด้วยจำนวน ๒,๐๐๐ ดอก สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ทางเสน่ห์เมตตามหานิยม)
คาถาเสกเกราะเพชรหนุมาน
โอม เพชรเกราะโสภควา ทั้งเจ็ดชั้นฟ้าสู่นาคพิภพ อิทธิฤทธิ์กูปราบสยบทั่วทั้งแผ่นดิน ตัวกูดังองค์อัมรินทร์ผู้รามฤทธิไกร โอมพรหมาศ โอมพายวาต โอมอัตวาต ขนเพชรกูสะไว้ทั้งช่องฟ้ากามาพจร โอมเพชรนารายณ์จักรวาล ตัวกูชื่อหนุมาน จักแผลงฤทธิจักร โอมยักกะวัตตุ สวาหะ
คาถาปลุกกำลังหนุมาน
โอม กรวิ กรวิ เกราะเพชรหนุมานเจ้า เข้าแบกเอาภูเขาใหญ่ แรงเจ็ดช้างสาร โอม มะอะอุ อิกะวิติ จิปิเสคิ โอมเพชรชะคงคง หนุมานะ นะ สังสะตัง
ขนาดความสูง 4 ซ.ม. กว้าง 2 ซ.ม.
This website uses cookies (Learn more) and has a privacy policy (Learn more).